3-1 ภพภูมิของวิญญาณ
บทที่ 3 ภพภูมิและรูปกายของวิญญาณ
3-1 ภพภูมิของวิญญาณ
ก่อนอื่นต้องบอกให้ท่านทราบว่า สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ ไม่ได้อิงและไม่คำนึงถึงคำสอนของศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผมพบว่าคำสอนเรื่องสวรรค์และภูมิเปรตในพระไตรปิฎกไปตรงกับภพภูมิของเหล่าวิญญาณที่ผมสัมผัส ผมจึงได้บรรยายภพภูมิของวิญญาณเหล่านี้ไว้คล้ายๆ กับในพระพุทธศาสนา ยกเว้นบางภพภูมิที่ผมเชื่อว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสสอนไว้ อาจเป็นเพราะแดนสวรรค์ของพระคริสต์เกิดขึ้นหลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว
บางท่านอาจจะโต้แย้งว่า การได้แค่สัมผัสหรือเข้าใกล้รัศมีของวิญญาณอย่างเดียว แต่ไม่ได้เห็นหรือพูดคุยใดๆ กัน อีกทั้งยังไม่ได้ไปดูภพภูมิของวิญญาณจริงๆ แล้วผมจะไปบอกได้อย่างไรว่าภพภูมิเหล่านั้นเป็นอย่างไร? เปรียบเสมือนกับคนตาบอดคลำช้าง ถึงจะพยายามอธิบายลักษณะของช้างอย่างไร ก็คงจะแตกต่างจากที่คนทั่วไปเห็น โดยเฉพาะเรื่องสวรรค์นรกที่องค์พระศาสดาในศาสนาต่างๆ ทรงตรัสสอนไว้
ความจริงผมก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ด้วยเหตุที่คนกับวิญญาณมีความแตกต่างกันคือ วิญญาณนั้นเมื่ออยู่ใกล้หรือสัมผัสกับคน เขาได้นำภพภูมิและรังสีแห่งความความสุขความทุกข์ติดไปกับตัวเขาด้วย ดังนั้นเวลาที่เขาสัมผัสเราหรืออยู่ใกล้ๆเรา เราจึงสามารถรับรู้และจำแนกภูมิของเขาได้ตามความทุกข์ความสุขที่ออกมาจากตัวเขา
ผมจะเริ่มต้นจากวิญญาณในภูมิเปรต เริ่มจากนรกภูมิไม่ได้ เพราะผมไม่เคยสัมผัสวิญญาณในภูมินรกวิญญาณในภูมิเปรตนี้รับรู้ง่ายมาก ถ้าเขามาอยู่ใกล้เรา เราก็รู้สึกเป็นทุกข์แล้ว เพราะรังสีความทุกข์ของเขามันแผ่ออกมาถึงตัวเรา เราก็เลยพลอยเป็นทุกข์ตามไปด้วย มือของเขาก็ใหญ่โตและหยาบกร้านคล้ายสัตว์มากกว่าคล้ายคน
ภูมิต่อมาคือภูมิสวรรค์ชั้นที่1 และตามมาด้วยชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 และก็ชั้นที่ 4 เกินกว่านี้ผมยังไปไม่ถึงในสวรรค์ชั้นที่1 นั้น ผมแบ่งภูมิหรือภพย่อยๆ ที่อยู่ในชั้นนี้ออกเป็น 6-7 ภพภูมิ ภูมิสวรรค์ชั้นที่ 1 ช่วงต้นๆ พวกที่อยู่ในภพภูมินี้ ก็เช่น พวกผีบ้านผีเรือน วิญญาณของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ วิญญาณเร่ร่อน วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วรอไปเกิดใหม่ วิญญาณที่ถูกจองจำให้อยู่ในที่ใดที่หนึ่งยังไม่สามารถเปลี่ยนภูมิได้ ฯลฯ สวรรค์ชั้นที่1 ภูมิต้นๆนี้ได้แก่สวรรค์ชั้น 1/1 1/2 และ1/ 3 กระแสหรือรังสีแห่งความสุขทุกข์ของเขายังดูไม่ค่อยออก บางทีก็สุข บางทีก็ทุกข์ ลักษณะและรูปกายของวิญญาณรวมทั้งความสุขความทุกข์ของเขา ดูไม่แตกต่างจากคนยากจนหรือคนทำงานหามื้อกินมื้อเลย พวกผีที่มาอำคนส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในภูมินี้ จุดมุ่งหมายหลักของเขาคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ท่านอุทิศกุศลผลบุญให้เขา ไม่เช่นนั้นเขาก็อดอยาก
สำหรับคนที่อยู่ในสวรรค์ชั้น1 แต่ภพภูมิที่สูงกว่า คือ 1/ 4 และ 1/ 5 แม้ว่ากระแสของความสุขเริ่มออกมาจากตัวเขาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มาก วิญญาณที่อยู่ในสวรรค์ชั้น 1 ภูมิสูง เปรียบไปก็คล้ายกับคนรวยในโลกมนุษย์ พวกที่อยู่ในสวรรค์ชั้น1 ภูมิ 6 หรือสูงกว่าขึ้นไป เราจะรับรู้รังสีแห่งความสุขของเขาได้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าให้เปรียบเทียบกับมนุษย์ พวกนี้ถือไว้ว่าเป็นพวกมหาเศรษฐี แต่แตกต่างจากมหาเศรษฐีในโลกมนุษย์ตรงที่ เวลาเขามีความสุข เขามีความสุขอยู่ทั่วทั้งตัว และสามารถกระจายความสุขให้วิญญาณรอบข้างได้รับรู้ด้วย
ผมเชื่อว่าในสวรรค์ชั้นที่1 มีภพ อยู่ไม่น่าเกิน 7 ภพภูมิ (1)
ในสวรรค์นั้นการที่จะบอกว่า วิญญาณดวงนี้น่าจะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 1 ชั้นที่2 ชั้นที่ 3 หรือชั้นที่ 4 นอกจากผมแบ่งแยกตามกระแสหรือรังสีของความสุขแล้ว ความหนักความเบาของวิญญาณร่างนั้นก็กำหนดชั้นด้วย(2)ยิ่งตัวเบา ยิ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงกว่า ที่ผมพูดนี่ ผมไม่ได้หมายถึงน้ำหนักของร่างกายนะครับ วิญญาณเปรียบเสมือนกลุ่มของพลังงานที่รวมตัวกันอยู่ในรูปคล้ายก๊าซแบบพิเศษ คุณสมบัติอย่างหนึ่งของมันที่เหมือนกับก๊าซทั่วๆไปในโลกมนุษย์คือ คุณสมบัติการลอยตัวในอากาศ ก๊าซแต่ละชนิดย่อมมีคุณสมบัติการลอยตัวขึ้นไปในอากาศได้สูงแตกต่างกัน ความสามารถที่จะลอยได้สูงกว่า คือสิ่งที่ผมกำลังพูดถึง วิญญาณที่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่1 ก๊าซที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเขาจะหนักกว่าวิญญาณในสวรรค์ชั้นที่2 ส่วนชั้นที่ 2 ก๊าซของวิญญาณจะหนักกว่าชั้นที่3 และวิญญาณในชั้นที่ 3 ก๊าซที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของวิญญาณท่านนั้นจะหนักกว่าวิญญาณในสวรรค์ชั้นที่4 ดังนั้นวิญญาณในสวรรค์ชั้นที่ 1 จะไปปักหลักถาวรในชั้นที่4 ไม่ได้ เพราะก๊าซที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของเขาเป็นก๊าซที่หนักกว่าก๊าซของเหล่าวิญญาณในสวรรค์ชั้นที่ 4
ในชั้นเดียวกัน เช่นสวรรค์ชั้นที่ 1 นั้น ฝรั่งที่ตัวใหญ่กว่าคนไทย มวลของก๊าซของเขาจะหนาแน่นกว่าคนไทย ความใหญ่โตของร่างกายของคนก่อนตายน่าจะเป็นตัวกำหนดความหนาแน่นของก๊าซของตัวเขา
ในสวรรค์ชั้นที่2 รังสีหรือกระแสแห่งความสุขรวมทั้งความเบาของตัววิญญาณชัดเจนกว่าในชั้นแรกมาก ส่วนชั้นที่ 3 คือชั้นยามา ผมพบวิญญาณในชั้นนี้เพียงครั้งเดียวและดวงเดียว และน่าจะเป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นนี้ด้วย พลังและอำนาจของท่านมหาศาลเหลือเกิน ผมไม่เคยสัมผัสวิญญาณของเทพดวงอื่นในชั้นนี้เลย จะพูดมากไปกว่านี้คงไม่ได้ ดังนั้นผมจึงขอข้ามไป
ในสวรรค์ชั้นที่4 ซึ่งก็คือชั้นดุสิต เทพในชั้นนี้ตัวเบากว่าในชั้นสองมาก รังสีหรือกระแสแห่งความสุขที่ออกมาจากตัวท่าน ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศธรรมชาติที่ผมประทับใจมากที่สุดในโลกมนุษย์
จากการทำสมาธิและกรรมฐานในช่วงอายุ 32-35 ปี ผมจึงได้มีโอกาสพบวิญญาณที่อยู่ในชั้นที่ 3 จนถึงชั้นที่ 4 แต่ในกรณีของพระพรหมนั้น ท่านเสด็จลงมาหาผมเองตามคำวิงวอนของผม เพราะผมยังทำสมาธิไม่ถึงขั้นที่จะไปพบท่านได้ ผมจำได้ว่า เคยอ่านหนังสือของหลวงจีนท่านหนึ่ง เมื่อท่านทำสมาธิจนถึงระดับที่ท่านสามารถเข้าไปในสวรรค์ชั้นไหนได้ เทพสูงสุดที่ประจำอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นก็จะมาต้อนรับ
ผมเองก็มีประสบการณ์แบบเดียวกัน ครั้งแรกพอผมยอมสละและละผลบุญทั้งหมด ใจผมก็เริ่มประเสริฐ แต่เป็นการประเสริฐเพียงชั่วคราวเท่านั้น เทพสูงสุดในชั้นสวรรค์ชั้นยามาน่าจะตะลึง เพราะท่านเป็นพระ คงคาดไม่ถึงว่า สามัญชนอย่างผมก็เข้าถึงธรรมชั้นสูงขั้นนิพพานได้เหมือนกัน ก็เลยมาแสดงความยินดีและพร้อมที่จะแนะนำสั่งสอนผมเพิ่ม
หลายปีต่อมาผมพ่ายแพ้ต่อความรัก แต่ผมสามารถทำสมาธิและกรรมฐานจนสลัดหลุดจากพันธนาการแห่งความรักได้สำเร็จ เทพประจำชั้นดุสิตหรือชั้น 4 ก็มาอวยพรอีกองค์หนึ่ง
โชคร้ายที่ผมหยุดทำสมาธิและกรรมฐานไปก่อน เพราะผมพบความจริงว่า ตำราการทำสมาธิและวิปัสสนาทั้งของคนไทยและต่างชาติ ล้วนแต่ไม่บอกความจริงว่า ยิ่งทำได้ลึกและดีขึ้นเท่าไร ความรู้สึกทางเพศก็จะลดลงมากเท่านั้น ถ้าทำสมาธิได้ถึงขั้นพรหม ผมก็จะเป็นกามตายด้านทางใจ 100% ยาไวอากร้าก็กระตุ้นให้ฟื้นไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่กามตายด้านทางกายแต่อย่างใด
(1) ความเข้าใจของผู้เขียน ณ ขณะนั้น ซึ่งจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมในตอนที่ 2
(2) ความหนัก-เบา น่าจะตรงกับภาษานักกรรมฐานว่า กายหยาบ-ละเอียด
ใช่เลยครับ สงสารผีที่ไม่ได้ทำบุญไว้ครับ ตอนนี้ผมได้รู้แล้วก้อเลยเร่งทำบุญ ทำสมาธิ ให้มากๆ ถึงเวลาตายแล้วผมจะไม่ต้องมาเสียใจภายหลังครับ
ตอบลบ